วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

My hometown : Ranong

ทรายขาว ทะเลใส หินงาม

ระนองดิมทีมีชื่อว่า เมืองแร่นอง เพราะในอดีตมีดีบุกเยอะมาก หะหะ แต่ปัจจุบันไม่มีสินแร่อีกแล้ว มีแต่พม่านองเมือง..ผมเลยเปลี่ยนฉายาเล่นๆ จากเมืองแร่นอง เป็น เมืองบุเรงนอง 55

พูดถึงฉายา  เมืองระนองได้เรียกว่า เมืองฝนแปดแดดสี่ จังหวัดอื่นๆเขามีสามฤดู แต่ระนองเค้าขาดทุนเพราะมีแค่สองฤดูคือ ฤดูฝน 8 เดือน ฤดูร้อน 4 เดือน แบบประมาณว่าฝนตกเยอะและบ่อยมั๊กมาก

ตั้งแต่ผมเด็กๆ จำความได้ก็เจอกับฝนตลอด และพวกเด็กๆอย่างเราก็จะชอบออกไปเล่นน้ำฝนเสมอๆ (หมายถึงเล่นกันท่ามกลางสายฝน เหมือนได้อาบน้ำฝักบัวธรรมชาติ) มาอยู่กรุงเทพก็นึกแปลกดี ที่นี่พ่อแม่ไม่ค่อยยอมให้ลูกเล่นน้ำฝนกันเพราะกลัวเป็นหวัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่จริง เพราะตอนอยู่ระนอง เล่นน้ำฝน กี่ที กี่ที(กี่ครั้ง--ภาษากรุงเทพ) ก็ไม่ค่อยจะเป็นหวัดเท่าไร ตอนเป็นผู้ใหญ่มาอยู่กรุงเทพซะอีก ตากฝนทีไรเป็นหวัดทุกที หรือฝนที่ระนอง กะ ฝนที่กรุงเทพ มันมาจากฟ้าต่างกัน

พูดถึงเรื่องฝนเนี่ยะ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับ ส.ส. ในอดีตของระนองหรือปล่าว ตอนเด็กๆจำได้ว่า ส.ส.กี่คนๆก็ทำโรงไม้ทั้งนั้น ทีนี้พอเวลาผ่านไป ตอนเป็นผู้ใหญ่กลับไปเยี่ยมบ้าน แปลกใจมาก ทำไมระนองเปลี่ยนไป อากาศที่เคยเย็นสบาย แปรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุ ยังกะอยู่กรุงเทพ  ลำธารที่เคยมีน้ำเต็ม ไหลตลอดมาจากภูเขาทางหาดส้มแป้น ก็ไม่มีน้ำเสียแล้ว น้ำตกปุญญบาลด่านแรกต้อนรับแขกผู้มาเยือน เห็นเพียงร่องทางน้ำบนหินภูเขาที่บ่งบอกว่าในอดีตที่ตรงนี้เคยเป็นน้ำตก หรือแม้น้ำตกหงาวที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติก็มีน้ำน้อยเต็มที คงมีดี ที่ทะเลของระนองยังอยู่ยั่งยืนยง

ช่วงปีหลังๆนี่เอง ที่ได้ข่าวว่าเขารณรงค์เรื่อง รักษ์ระนอง กัน ก็ขอปรบมือให้ดังๆ
เพราะปีนี้ 2010 กลับไปพบว่าบรรยากาศเก่าๆเริ่มกลับมาแล้ว
น้ำตกปุญญบาลชุ่มไปด้วยน้ำ 
น้ำตกบุญญบาล ก.ย.2010
ที่น้ำตกนี้ เขาสร้างทางเดินป่าปีนขึ้นน้ำตกได้ด้วย ที่ด้านบนน่าจะมีแอ่งน้ำอยู่เพราะตอนเด็กๆจำได้ว่าปีนขึ้นไป แต่ครั้งนี้ปีนง่ายกว่าเยอะเพราะเขาทำเป็นขั้นบันได แต่ยังไงก็ตาม ผมปีนไปไม่ถึงง่ะ แบบว่ามันหมดแรง (น่าอาย จิงจิง)

สายธารน้ำบนภูเขาของน้ำตกหงาว ที่มองเด่นได้จากถนนเพชรเกษม
ภูเขาน้ำตกหงาว
น้ำตกหงาว
เด็กนักเรียนเล่นน้ำที่แอ่งด้านล่างของน้ำตก
ที่วนอุทยานน้ำตกหงาวต้องเสียค่าบำรุง 20 บาท ภายในมีที่พักค้างคืนแบบบ้านทาร์ซานให้นักท่องเที่ยวด้วย แล้วถ้าใครขยันๆลองปีนให้ถึงยอดน้ำตก กางเต็นท์ที่นั่น ก็จะเห็นวิวทั้งสองฝั่งคือทะเลอันดามัน และทะเลหมอก(ไม่รู้ว่าฝั่งไหน) เห็นเขาโฆษณาไว้อย่างนั้น  แต่ควรระวังว่าท้องฟ้าไม่เปิดนะจ๊ะ เพราะตอนนี้ระนองกลับมาเป็นเมืองฝนแปดแดดสี่อย่างเดิมแล้ว..แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์แบบอดีตก็เถอะ
น้ำตกหงาว ใสเห็นทรายเลย


ลำธารน้ำกลับมาแล้วที่สวนรักษะวาริน หรือ บ่อน้ำร้อน
สถานที่ขึ้นชื่อของระนองที่ทุกคนต้องมา เป็นที่อาบน้ำแร่แช่น้ำร้อน บางคนอาจมาเข้าสปาน้ำแร่แบบหรูๆ แต่บางคนอาจมาอาบน้ำแร่แบบสบายกระเป๋าตังค์ในวัดบริเวณบ่อน้ำร้อนนี้ แต่ส่วนใหญ่เพียงแค่ได้เอาขาแช่น้ำในอ่างสาธารณะที่ทางจังหวัดจัดสร้างไว้ก็ถือว่าโอแล้ว
บ่อพ่อ..ทายสิว่าคนไหนไทย คนไหนพม่า

ตั้งแต่อดีตที่นี่จะมีบ่อน้ำแร่อยู่สามบ่อ เรียกตามลำดับว่า บ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูก คนระนองจะเอาเศษเหรียญโยนลงในบ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม น่าจะเป็นการอธิษฐานหรือบนบานขอพร เมื่อก่อนข้างๆบ่อพ่อจะเป็นศาลาศาลเจ้า เด็กๆผมก็ชอบมาเขย่าเซียมซีบ่อยๆ (ที่ใช้คำว่าเขย่า ก็เพราะว่าตอนนั้นเด็กมากไม่รู้เรื่องอะไร เลยคิดว่ามาเล่นแข่งกัน ดูว่าใครสามารถเขย่าแล้วให้ติ้วหล่นมาเพียงอันเดียวได้) มาที่นี่บ่อยเพราะว่าคุณพ่อจะเอาถังแกลลอนมาตักน้ำไปให้อาบที่บ้านเสมอๆ  โตมาผิวพรรณเลยดูดีเพราะอาบน้ำแร่เกือบทุกวัน นี่ถ้าได้อาบน้ำนมควบคู่ไปด้วยก็ไม่รู้ว่าจะออกมาขาวเผือก หรือ ขาวเนียน แต่ที่แน่ๆปัจจุบันดูเหมือนผมจะขาวซีดนะเนี่ย
ลำธารและสะพานไม้ที่บ่อน้ำร้อน

สวนรักษะวารินจะมีอยู่สองฝั่งโดยมีลำธารกั้นกลาง ฝั่งหนึ่งเป็นบ่อน้ำร้อน อีกฝั่งเป็นถ้ำฤาษีและพระพุทธรูปบนเนินยอดเขาซึ่งยังคงรักษาธรรมชาติเดิมๆไว้ ส่วนฝั่งบ่อน้ำร้อนนั้นต่อเติมเสริมแต่งจนจะทันสมัยพอควร ผมพยายามหามุมสวยๆเพื่อถ่ายรูปลำธารก็จนปัญญา เพราะวันที่ผมไปก็มีการก่อสร้าง โดยมีรถแมคโครเข้าไปตักหินเทปูนเกือบจะกลางลำธาร ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมต้องก่ออิฐก่อปูนสร้างอะไรเพิ่มอีก ในความคิดของผม ผมว่านักท่องเที่ยวน่าจะอยากให้มีจุดถ่ายรูปสวยๆ และจุดที่เป็นไฮไลท์หรือสัญญลักษณ์ของสถานที่มากกว่า เคยคุยกับพี่ชายที่เป็นสมาชิกสภาเทศบาลให้ช่วยนำเสนอสร้างสวนดอกไม้สวยๆเด่นๆ หรือสวนกล้วยไม้ป่าได้ก็น่าจะดี

ภูเขาหัวล้าน หรือ ภูเขาหญ้า
อันนี้..ไม่รู้จะบรรยายอะไร ดูรูปภาพเอาเองดีกว่า
ภูเขาหญ้า
ภูเขานี้ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ ไม่ได้มีการตัดไม้ทำลายป่าแต่อย่างใด หากแต่เป็นภูเขาหญ้าตามธรรมชาติ ตอนนี้ดูสวยงามเพราะว่ามันเขียวสด แต่เมื่อก่อนนี้หลายปี มันเป็นเพียงหญ้าแห้งๆสีน้ำตาล ผมกลับบ้านไปทีไร ก็อนาจใจทุกที
มาปี2010 นี่เองที่ยิ้มออกหน่อย เพราะความเขียวขจีมันกลับคืนมาแล้ว...ไชโย

จุดชมวิวเขาฝาชี
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ผมนายเคนจึงภูมิใจนำเสนอ..ไปดูตะวันรอนตอนตกทะเล ที่เขาฝาชี
แน่นอน..เมื่อถูกเรียกว่าเขา ก็แสดงว่ามันเป็นภูเขา แต่ไม่ต้องกังวลเพราะมันไม่ได้สูงเท่าใด ขับรถขึ้นไปถึงได้ แต่อย่าเอารถอีแก่(รถเก่าๆ..ผมเรียกอย่างนั้น)ขับไปก็แล้วกัน ครั้งที่แล้วผมใช้รถอีแก่ขับไปต้องจอดกลางคันเพราะแรงไม่มี ที่เหลือเลยต้องเดินต่อ แต่ก็คุ้มกับทัศนียภาพงามๆครับ
จุดชมวิว..ทะเลอันดามัน

ตะวันลับฟ้าที่เขาฝาชี
 การไปเที่ยวเขาฝาชีควรไปตอนเย็น เพราะจะได้ดูตะวันตกดิน ตอนนั้นผมเลือกถ่ายภาพมุมด้านหนึ่งก่อนแล้วกะว่าจะรีบวิ่งกลับไปจุดที่เป็นไฮไลท์..โอ้ แม่เจ้า ตะวันมันจะขี้อายอะไรนักหนา เพียงไม่ถึงสองสามนาที ดวงตะวันลูกแดงๆ มันก็ลับขอบฟ้าไปก่อนแล้ว..เลยได้แค่ภาพด้านล่างมา..เฮอ..ถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ฮือ..ฮือ..กระซิกๆ  ตะวันลับไปแล้ววิ่งกลับมาถ่ายไม่ทัน
ลงจากเขาฝาชีขับรถเข้ามาทางอำเภอเมืองจะเจอชุมชนเล็กๆที่ กม.30 คนระนองเรียกแถวนี้ว่า กิโลสามสิบ เพราะอยู่ตรงแถวๆหลักกิโลเมตรที่สามสิบ จากตัวเมืองระนอง เข้าใจว่าที่นี่จะมีการแข่งเรือมิตรภาพไทย-พม่า เป็นประจำทุกปี ตัวผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาแข่งกันช่วงเดือนไหน ไม่เคยได้มาดูเลยสักครั้ง
ชุมชนกิโล30 ถ่ายภาพจากบนเขาฝาชี
ที่นี่เขากำลังสร้างอุทยานประวัติศาสตร์ ตอนผมไปยังไม่เสร็จ เลยถ่ายรูปมาแค่หัวรถไฟที่เขาตั้งโชว์ไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีประวัติความเป็นมายังไง มานึกดูปัจจุบันนี้ก็แปลกดี เด็กไทยสนใจประวัติศาสตร์น้อยมาก ได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้แม้ในโรงเรียนก็ไม่มีสอนวิชาประวัติศาสตร์กันแล้ว ไม่รู้จริงหรือไม่จริง ถ้าเป็นจริงก็น่าเศร้าใจ เพราะวันหนึ่งคนไทยคงได้ลืมกำพืดของตัวเอง แล้วหันไปภาคภูมิใจกะฝรั่งมั่งค่า ต่อมาก็ญีิปุ่นอานาเนะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นกิมจิเกาหลีเสียนี่ ...เฮอ(ถอนหายใจ)
หัวจักรรถไฟโบราณ
ที่กิโลสามสิบจะเป็นปากแม่น้ำที่กำลังไหลออกสู่ทะเล มีตลาดสดเป็นชุมชนเล็กๆอยู่ริมตลิ่ง นี่ถ้าเมื่อไหร่ระนองกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับขึ้นมา ผมเชียร์สุดใจให้สร้างกิโลสามสิบเป็นตลาดน้ำมันเสียเลย..เพราะตอนนี้ที่ไหนๆก็ฮิตทำเป็นตลาดน้ำกันหมดแล้ว แต่ระนองเรามีจุดขายเจ๋งกว่าใคร..เพราะตลาดน้ำของเราไม่เหมือนใคร..มันเป็น หลาดน้ำเล (ภาษาใต้..ตลาดน้ำทะเล)..ง่ะง่ะ
สะพานข้ามแม่น้ำ กม.30 ยามโพล้เพล้

ถนนขึ้นเขาเลียบทะเล..ไปคาสิโน
การขับรถเข้าเมืองระนอง หากเลี้ยวขวามาทางเขานางหงส์ก็จะเป็นทางเลียบทะเล ไปอันดามันคลับแหล่งผลาญเงินเพราะเป็นคาสิโนอยู่ฝั่งพม่า ถนนทางเลี้ยวตอนนี้กำลังสร้างสะพานยูเทิร์นใหญ่ๆ แต่หากมาทางนี้จะไม่ผ่านน้ำตกบุญญบาล ก็เลือกเอานะครับ ใครชอบทะเลก็ขับมาทางเขานางหงส์ ส่วนใครชอบน้ำตกก็ขับทางปกติ
ท่าเรือน้ำลึกระหว่างทางเลึยบทะเล
พูดถึงอันดามันคลับ ผมก็ไปมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ครั้งหน้าหากกลับไปเยี่ยมระนองจะหาโอกาสมานำเสนอ..แล้วภาวนาให้ผมด้วยล่ะว่าตู้ Slot Machine มันจะไม่กินเงินแต่คายเงินออกมาแทน 55.. อย่างน้อยก็ขอให้คุ้มกะค่าตั๋วเรือข้ามฝากก็ยังดี
ข่าวว่าช่วงนี้..คู่แต่งงานคนระนองนิยมข้ามฝั่งไปจัดงานที่นั่นเพื่อความโรแมนซ์.. แขกที่จะไปงานก็จะได้ตั๋วฟรี..เลิกงานก็เข้าบ่อนต่อได้เลย ประมาณนั้น..ก็เตือนๆเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่าเลือกคนที่บ้าพนันแล้วกัน.เด๋วคืนเข้าห้องหอแทนที่จะชื่นมื่นไชโยจะกลายเป็นชื่นมื่น ไฮโล ซะงั้น


เที่ยวสามเกาะ..เลาะหาดบางเบน
(เสียดายมือสมัครเล่นถ่ายไม่ค่อยสวยเท่าของจริง)

พูดถึงหาดทรายของระนอง เท่าที่ผมทราบก็มีอยู่สามแห่ง คือหาดทรายดำ หาดประพาส และหาดบางเบน และหาดที่คนนิยมไปเล่นน้ำก็น่าจะเป็นหาดบางเบน
หาดบางเบนอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแหลมสน หลายๆคนชอบเพราะว่ามันสงบดี แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่างั้นๆแหละ ทรายก็ไม่ขาว น้ำก็ไม่ใส บางทีคลื่นแรงอีกต่างหาก..อ้าว..ไหงไปพูดซะงั้น..แล้วจะมีคนไปเที่ยวระนองเหรอเนี่ยะ..ก้อ ผมไม่อยากวาดภาพชายหาดให้มันวิเศษเกินจริง เด๋วใครไป กลับมาผิดหวังจะมาโทษกัน สู้ให้เขาไม่หวังเยอะดีกว่า กลับมาแล้วจะได้พูดว่าสวยกว่าที่คิดไว้..

เมื่อมาถึงบางเบนแล้ว ควรนั่งเรือไปเที่ยวหมู่เกาะกำอย่างยิ่ง..ค่าเหมาเรือก็ 1,800 บาท เป็นเรือหางยาวนั่งได้ 8-10 คน ค่าเช่า snorkel อีกคนละ50 บาท ติดต่อได้ที่อุทยานเลย สำัหรับคนที่ไม่ต้องการเหมาเรือ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่จัดเรือรวมกับคนอื่นได้นะครับ  คราวที่แล้ว(เม.ย. 2009)พวกผมเหมาเรือไปกัน 8 คน ทางอุทยานก็ขอให้รับนักท่องเที่ยววัยรุ่นอีก 2 คน (น่าจะเป็นแฟนกัน..น่ารักเชียว) ก็เลยถือโอกาสเป็นเจ้าภาพในฐานะเจ้าของพื้นที่เสียเลย

ที่จริงเราอาจจะติดต่อเจ้าของเรือโดยตรงที่ท่าเทียบเรือก็ได้ น่าจะได้ราคาดี..แต่ไงๆ ผมว่าติดต่อที่เจ้าหน้าที่อุทยานดีกว่าปลอดภัย..เผื่อมีมรสุม..เจอสึนามิ..ติดเกาะ..อะไรก็แล้วแต่ ยังจะได้รับความช่วยเหลือเพราะเขามีบันทึกการเดินทางของนักท่องเที่ยวไว้
นั่งเรือไปเกาะกำ..ทำลายน้ำปิดหน้าไว้ เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตเผยแผ่จากเจ้าของหน้าตา
นั่งเรือแค่ครึ่งชั่วโมง ก็จะมาถึงโลกอีกโลกหนึ่ง...มันอาจจะไม่ใช่สวรรค์ เพราะมันเป็นเพียงแค่เกาะน้อยๆกลางทะเล..แต่สามาถหลีกหนีจากความจอแจวุ่นวาย..บางวันที่นี่จะไม่พบนักท่องเที่ยวอื่นนอกจากพวกเรา..แล้วเราจะได้เป็นเจ้าของเกาะไปเลย 
ภาพถ่าย..ด้านหลังของเกาะกำ(มั้ง)..ดูสีของน้ำสิ ใสเห็นทรายด้วย

ครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวหมู่เกาะกำ ตอนนั้นจะมีบ้านพักของอุทยานเป็นกระต็อบให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืน แต่หลังจากเหตุการณ์สึนามิ ก้อไม่มีมันอีกแล้ว...เสียดาย

ครั้งล่าสุด ไปช่วงสงกรานต์ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ้าง รวมคณะของเราด้วยน่าจะเป็น 3 ลำเรือ ตอนแรกเรือแวะเกาะกำก่อนเป็นช่วงน้ำขึ้นพอดี คลื่นเลยพัดเศษไม้เข้าฝั่งมากมาย ชายหาดที่แคบเล็กอยู่แล้วก็โดนคลื่นทะเลกลบจนไม่เห็นเป็นหาดทราย อาเฮียที่มากับเรืออีกลำหนึ่งเดินสวนทางมาพยายามชวนผมคุยและบ่นกับผมว่า "ไม่เห็นมีอะไร..สกปรกก็สกปรก(เพราะเศษไม้ที่คลื่นซัดมา)..(แม่ง) เสียดายเงิน" ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เดินจากแกมา

คนเรือคงพยายามรอให้น้ำลง...จนถึงเที่ยงๆจึงพาเราไปเกาะที่สอง..เกาะค้างคาว..ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงต้องร้องกรี๊ดออกมาดังๆ..ทะเลอะไร มันจะสวยขนาดนี้  ผมให้นิยามมันว่า หาดสวย ทะเลใส หินงาม ต้องมาที่หมู่เกาะกำ ระนอง

ที่นี่เป็นที่ดำดูปะการังน้ำตื้น ที่กำลังฟื้นตัว..เกาะอื่นๆเมื่อไปน้ำตื้นจะเห็นแต่หินปะการัง.. แบบว่า..ปะการังที่ตายกลายเป็นแนวหินหมดแล้ว  แต่ที่นี่ยังพอเห็นสีสันของปะการังบ้าง แม้จะน้อยเต็มที...ผมก็แอบหวังลึกๆว่า วันหนึ่งแนวปะการังเหล่านี้จะฟื้นตัว ออกมาอวดสีสันสดใส

ก็ขอช่วยๆรณรงค์ ให้นักท่องเที่ยวเวลาดำน้ำ..อย่าหยุดพักด้วยการยืนเหยียบปะการังเลยน่ะ..ใส่เสื้อชูชีพทุกครั้งเพื่อจะได้ลอยตัวได้..แล้วหากเสียงดังพอ อยากขอทางจังหวัดนำทุ่นมาวางเป็นจุดเพื่อนักท่องเที่ยวจะใช้เป็นที่เกาะพักเหนื่อย ไม่ต้องไปเหยียบปะการัง
ดำน้ำดูปะการัง..ไล่ล่าปลานีโม
ใสเห็นทราย ตรงเรือจอดคือที่เราดำน้ำกัน

เกาะที่สาม คือเกาะญี่ปุ่น ก็สวยไม่แพ้กัน

นักท่องเที่ยวกะหาดทรายขาว

ผมว่าเกาะแรกที่เราไป หากไม่ใช่ตอนน้ำขึ้นก็น่าจะสวยไม่แพ้กัน ดังนั้นหากใครจะมาเที่ยวสามเกาะสอบถามเวลาน้ำขึ้นน้ำลงดีๆนะครับ จะได้คุ้มค่าหน่อย

คอคอดกระ กะ ซาลาเปา
หากพูดถึงระนองแล้วไม่พูดถึงคอคอดกระ ก็เหมือนจะขาดอะไรไปอยู่
ที่เห็นฝั่งตรงข้ามคือประเทศพม่า
คอคอดกระคือพื้นที่ที่แคบที่สุดของคาบสมุทรอินโดจีน ตรงจุดนี้เราจะเห็นฝั่งของประเทศพม่าอย่างชัดเจน อันที่จริงผมว่าว่ายน้ำข้ามระหว่างประเทศไปมาได้แบบสบายมากๆ..แต่ไม่ดีกว่า เด๋วตรวจคนเข้าเมืองจะเข้าใจผิดว่าเป็นพี่หม่องลักลอบเข้าประเทศ แล้วอาจต้องไปยืนร้องเพลงชาติให้แกฟังอีก..ปัจจุบันนี้สังเกตุยากขึ้นนะครับว่าใครเป็นคนไทย คนพม่า..วิธีหนึ่งที่จะตรวจจับได้ก็ให้ร้องเพลงชาติไงครับ..ไงไง คนไทยทุกคนร้องเพลงนี้ได้อยู่แล้ว..หรือว่าไม่จริง แต่จะมีนักการเมืองสักกี่คนที่เข้าใจความหมายของมัน
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ผไทของไทยทุกส่วน..ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี...."

ทางเดินเลียบทะเล หากมีการเก็บกวาดใบไม้บ้างที่นี่ก็น่ามานั่งแบบชิว ชิว เหมือนกัน
ใกล้ๆกันกะคอคอดกระ ก็เป็นทับหลี หมู่บ้านซาลาเปา
ซาลาเปาที่อร่อยที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่นี่..ต้นตำรับดั้งเดิมจะมีแค่ไส้หมูสับ กับไส้หวาน(ไส้ถั่วดำ)
เขาว่าซาลาเปาที่อร่อยต้อง แป้งบาง ไส้เยอะ แล้วผมขอเพิ่มว่า ต้องหอมกลิ่นหมูสับด้วยครับ(ไม่ใช่ มาม่านะครับ...หมายถึงไส้หมูสับต้องหอมกลิ่นพริกไทง่ะ)

 เมื่อก่อนบ้านผมจะแนะนำเพื่อนๆที่มาเที่ยวให้ซื้อซาลาเปาโดยสังเกตุว่าเจ้าดังคือร้านที่ขายข้าวมันไก่ด้วย ช่วงหลังๆ..กลายเป็นเจ้าอื่นๆก็ขายข้าวมันไก่ตามไปหมด...ไอ้ที่นี่เพื่อนๆที่ไม่เคยมาระนองจะแวะซื้อเองก็งงล่ะสิ..ไอ้ผมเองก็งงไปด้วยว่า..เอ..ที่เราเคยๆซื้อน่ะมันร้านไหนหว่า...ช่วงหลังนี้จึงจำร้านหนึ่งเป็นชื่อจีนๆ ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ร้านเจ้าตำรับหรือเปล่า
ร้านนี้ไม่แน่จริง ไม่ขายหกบาท

ร้านนี้จะขายซาลาเปาลูกละ 6 บาท ขณะที่ร้านอื่น 5 บาท แล้วซาลาเปาก็จะหมดก่อนเขาด้วย..แสดงว่าแน่จริง..ปีนี้(2010) ผมกลับไปเยี่ยมบ้านที่ระนองก็แวะซื้อตามเคย ซาลาเปายังอร่อยเหมือนเดิมแต่น้ำจิ้มรู้สึกว่าจะสู้ร้านร้านข้างๆที่ได้รางวัลของจังหวัดไม่ได้

การกินซาลาเปาไส้หมูสับของหมู่บ้านทับหลีต้องใส่น้ำจิ้มด้วยครับ..ซาลาเปาจะออกมันเค็ม ใส่น้ำจิ้มที่มีรสหวานซ่อนเปรี้ยวก็ลงตัวพอดีแป๊ะครบทุกรส..พูดแล้วก็น้ำลายไหล

พูดถึงอาหาร..ระนองมีของอร่อยที่ไม่แพ้ใครเลยนะ จะบอกให้..ไว้ผมกลับเยี่ยมบ้านเกิดครั้งหน้าจะถ่ายรูปมาเขียนรีวิวเพิ่มเติม
ที่อยากแนะนำก้อมี...
            ขนมจีนตลาดเก่า ,
            ข้าวเหนียวมะม่วงเจ๊หลั่น ,
            ราดหน้าร้านหวีเตี้ยง (รู้สึกว่ากุ๊กคนเก่าจะไม่อยู่แล้ว),
            ผัดไท (บางวันก็ผัดอร่อย บางวันก็งั้นๆ จะให้อร่อยจริงต้องเจ้าของผู้ชายเป็นคนผัด),
            โอ๊ะเอ๋ว (ขนมหวานคล้ายวุ้นในน้ำเชื่อม แต่ทำมาจากผลไม้..หอมหวานชื่นใจ)
             ลอดช่องหาดส้มแป้น,
อ้อ เกือบลืม อีกอย่างคือแกงส้ม(แกงเหลืองปักษ์ใต้) ของร้านข้าวแกงในตลาดร้านไหนก็ได้อร่อยเกือบทุกร้าน

ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆ ยังมีอีกเยอะแต่ผมไม่มีรูป ขอยกยอดเป็นครั้งหน้า(อาจจะปีหน้า) อันได้แก่
             ระนองแคนย่อน
             ถ้ำพระขยางค์
             น้ำตกโตนเพชร(ป่าสุดๆ กำลังสร้างทางเข้า)
             ทุ่งพลับพลึงธาร (unseen Thailand  หนึ่งเดียวในประเทศไทย)
             แอบดูนกเงือก ที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าคลองนาคา
             โฮมสเตย์บ้านทะเลนอก
             พระราชวังรัตนรังสรรค์จำลอง
             ชมวิวเขาศาลากลางจังหวัด
             สุสานเจ้าเมืองระนอง 
             เกาะพยาม
             เกาะสอง(พม่า) หรือ วิคเตอเรียพอยท์
             ดำน้ำตื้นดูปะการังที่หมู่เกาะเซนต์ลุกซ์ พม่า
สำหรับวันนี้..ราตรีสวัสดิ์ครับ ท่านผู้ชม (ยืมคำของวู้ดดี้มา)